ยาคุมช่วยรักษาปัญหาสิวได้ หลายคนมักจะเคยได้ยินประโยคนี้กันมามากพอสมควร บางคนทานยาคุมไปแล้ว ก็ได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่น ผิวใสขึ้น สิวลดลง ก็ต่างมารีวิวอย่างแพร่หลายว่าสิวมันหายได้จริง ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า การทานยาคุมนั้นก็ต่างมีโทษและคุณแตกต่างกัน วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาคุมเพื่อหยุดสิวกันเถอะ
1. เลือกยาให้ถูกประเภท
การทานยาชนิดใดชนิดหนึ่งนั้น ควรอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ เพราะแพทย์จะเข้าใจถึงปัญหาผิวของคุณ น้ำหนัก ส่วนสูงฯ ที่จะช่วยให้เรารู้ว่าควรรับประทานยาแบบไหน และปริมาณเท่าไหร่ถึงจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของตัวคุณเอง ดังนั้น ก่อนการใช้ยาคุมเพื่อดูแลสิวให้ลดลง เรามาทำความเข้าใจถึงประเภทของยาคุม และความเหมาะสมที่จะใช้ได้ ดังนี้
ประเภทของยาคุมที่ควรรู้
- ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive – COC) ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน รวมกันในเม็ดเดียว มีผลทำให้รอบเดือนให้มาตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยให้ปวดประจำเดือนน้อยลงได้ หากทานอย่างสม่ำเสมอ
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestrogen-only pills – POP) มีเพียงฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนอย่างเดียว ยาคุมชนิดนี้ถูกผลิตออกมาเพื่อลดผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบฉุกเฉิน (Emergency contraception pill) มักใช้ตอนฉุกเฉิน เช่น ถุงยางอนามัยเกิดการรั่วไหล เป็นต้น
ดังนั้นหากต้องการทานยาคุมเพื่อลดสิวที่มีส่วนผสมของทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพราะยาคุมที่มีแค่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนไม่สามารถช่วยรักษาปัญหาสิวได้ แต่อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ยา
2. ยาคุมรักษาสิวไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ยาทุกชนิดก่อนการใช้งานควรปรึกษาแพทย์มาอย่างละเอียด รอบคอบแล้วเท่านั้น เพราะร่างกายของเราอาจจะเกิดผลเสียตามมาได้ในระยะยาว สิวอาจลดลงไปก็จริง แต่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า การทานยาสะสมไปนานๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนั้นเอง และกลุ่มคนเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมในการรักษาปัญหาสิว
- คนที่ยังไม่มีประจำเดือน
- คนที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- คนที่สูบบุหรี่จัด
- คนที่มีปัญหาการแข็งตัวของหลอดเลือดผิดปกติ
- คนที่มีประวัติภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง
- ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม
- ผู้ป่วยไมเกรน โรคเบาหวาน โรคตับ
3. ปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
เนื่องจากการทานยาคุมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ เช่นอาการเวียนหัว ปวดศรีษะ อาเจียน คัดเต้านม มีเลือดออกทางช่องคลอด แม้กระทั้งเกิดสิวขึ้นในตอนแรกของการใช้ยา ดังนั้นการพบแพทย์หรือเภสัชก่อนการใช้ยาอยู่เสมอๆ โดยควรแจ้งปัญหาสุขภาพทั้งหมดให้แพทย์ทราบ หรือการใช้ยารักษาโรคอื่นๆ ให้ทราบก่อนที่จะรับประทานยาคุม เพราะยาบางกลุ่มอาจจะส่งผลเสียต่อกัน เช่นกลุ่มคนที่ใช่ยาเตตราไซคลีน หรือยาปฏิชีวนะบางชนิด อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของยาคุมลดลงได้ หรือแม้หากทานไปแล้วเกิดความผิดปกติ ควรรีบแจ้งแพทย์ให้ทราบทันที
4. ยาคุมไม่ช่วยให้รอยสิวหายไป
จริงอยู่ว่าการใช้ยาคุมจะช่วยให้สิวลดลงได้ แต่รู้หรือไม่ เมื่อสิวหายไป แต่ก็อาจจะทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวไว้ให้เราดูต่างหน้าได้นะ เพราะสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ยาแต้มสิว ยาทาแก้รอยดำ รอยแดง ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น หรือมีการทำเลเซอร์ลดรอยดำ ก็จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ไวกว่าจากที่ รอยเหล่านี้จะจางลงไปเอง
สาระน่ารู้ รักษาปัญหาสิวฮอร์โมน แบบไม่ต้องพึ่งยาคุม
สิวฮอร์โมน คือสิวที่เกิดจากการแปรปรวนของฮอร์โมนในร่างกาย ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นหลัก โดยมักพบในช่วงที่มีประจำเดือน โดยการรักษาปัญหาสิวที่บีเอสแอลคลินิก จะเน้นรักษาจากสาเหตุของการเกิดสิวเป็นหลัก เพราะจะช่วยให้ปัญหาเหล่านี้หมดไปในระยะยาว ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ไม่เป็นสิวซ้ำๆ ในบริเวณเดิมๆ ที่เคยทำการรักษาไป จากภาพด้านบนคนไข้ใช้เวลาการรักษาไป 189 วัน ด้วยคอร์สดังนี้
- เคลียร์สิวอุดตัน เพราะหากผิวเราไม่มีสิวอุดตันก็จะไม่ก่อให้เกิดสิว รอยสิวตามมาหากดูแลได้อย่างถูกต้อง
- เลเซอร์รักษาสิว เป็นเลเซอร์ที่จะช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน และช่วยให้รูขุมขนเล็กลงได้ เมื่อรูขุมขนเล็กลง ต่อมไขมันไม่ผลิตไขมันออกมาเกินความจำเป็นก็จะไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน จึงช่วยให้สิวลดลงได้ในระยะยาว และยังช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น
- ยากิน โดยยานี้จะไม่ใช่ยาคุม โดยแพทย์จะสั่งจ่ายยาตามภูมิหลังของคนไข้ เช่นประวัติส่วนตัว น้ำหนักส่วนสูง การใช้ชีวิตประจำวัน เพราะหากทานยาเกินโดส หรือไม่ครบโดส อาจจะก่อให้เกิดการดื้อยาได้
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน แพทย์บีเอสแอลไม่หยุดที่จะพัฒนาสูตรอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ปลอดภัยต่อผิวหน้า และไม่เกิดผลข้างเคียงหลังใช้ แม้จะเป็นกลุ่มคนผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้นั้นเอง
หากต้องการกำจัดสิวตัวร้ายให้ออกไปจากผิว สิ่งที่ควรคำนึงถึงนั้นก็คือการรักษาให้ถูกจุด ตรงสาเหตุ เพราะหากคุณพลาดแล้วผิวเกิดปัญหา บางครั้งอาจจะยากในการรักษาเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น กดสิว บีบสิวเองบ่อยๆ อาจจะทำให้เกิดรอยดำ รอยแดง โดยปกติรอยเหล่านี้สามารถจางลงไปได้ แต่อาจใช้เวลามากกว่า 6 เดือน หรือในบางคน อาจจะเป็นหลายปี และปัญหาร้ายอย่าง หลุมสิว เมื่อเป็นแล้วจะไม่สามารถตื้นขึ้นเองได้ โดยจะต้องทำการรักษาด้วยสารเติมเต็ม หรือเลเซอร์เพื่อฟื้นฟูผิว
หากกังวลใจเรื่องสิวสามารถทักเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ได้ฟรี
Add Line : @bslclinic (มี@ข้างหน้า)
หรืออ่ายรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://bslclinic.co.th/acne-treatment/